เคยไหม? ที่มีความรู้สึกว่าต้องติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะตกข่าวสำคัญ กลัวว่าจะพลาดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือกลัวว่าจะพลาดเรื่องดราม่าที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ความกลัวที่พาลให้เสียสมาธิในการทำงานหรือมีสภาวะตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว อาการเหล่านี้ถูกเรียกว่า FOMO หรือความกลัวที่จะตกขบวน
FOMO คืออะไร
FOMO ย่อมาจาก “Fear of Missing Out” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “ความกลัวที่จะพลาดโอกาส” เป็นคำศัพท์ใหม่ในสมัยนี้ที่หมายถึงภาวะทางจิตใจที่บุคคลรู้สึกวิตกกังวล กลัวว่าตนเองจะพลาดประสบการณ์หรือกิจกรรมที่น่าสนใจหรือได้รับความบันเทิงจากกลุ่มเพื่อนหรือคนรอบข้าง
สาเหตุหลักของ FOMO
สาเหตุหลักของ FOMO มาจากการเปิดรับข้อมูลจากโลกออนไลน์มากเกินไป เมื่อเห็นเพื่อนหรือบุคคลที่ชื่นชอบโพสต์รูปไปงานปาร์ตี้สนุกๆ เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ หรือได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ เราก็อดรู้สึกอิจฉาริษยาและคิดไปเองว่าชีวิตน่าจะดีกว่านี้ไม่ได้ ความคิดแบบนี้หากปล่อยทิ้งไว้จะนำไปสู่ความรู้สึกด้อยคุณค่าในตัวเองและความสุขที่มีอยู่
อาการของ FOMO
อาการของ FOMO ได้แก่ การตื่นตัวและจับจ้องอยู่กับอุปกรณ์สื่อสารอย่างสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารหรือการแชร์ของกลุ่มเพื่อน รวมถึงการโพสต์หรือแชร์กิจกรรมของตนเองบ่อยๆ อาจรู้สึกโดดเดี่ยว เบื่อหน่าย หรือซึมเศร้าเมื่อไม่ได้ร่วมกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อน
ผลกระทบของ FOMO
ผลกระทบของ FOMO ที่สำคัญคือความเครียด ความไม่พอใจในชีวิตตนเอง การมองเห็นคุณค่าในตนเองลดลง และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้หากมีระดับรุนแรง การจัดการ FOMO ที่ดีคือการลดเวลาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ รู้จักให้คุณค่ากับชีวิตในปัจจุบันของตนเอง และมองด้านบวกของสิ่งรอบตัว
FOMO ในวัยเรียน
- ติดพันอยู่กับโซเชียลมีเดียเป็นเวลานาน เพื่อติดตามกิจกรรมของเพื่อนๆ มีความเครียด กังวลใจ เบื่อหน่ายเมื่อรู้ว่าตนไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ
- มีความกังวลว่าเพื่อนๆ จะไปทำกิจกรรมสนุกๆ ด้วยกันโดยไม่ได้เชิญตน สมาธิเสีย ขาดความตั้งใจในการเรียน เนื่องจากให้ความสนใจกับโลกโซเชียลมากเกินไป
- พยายามตอบรับหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่มเพื่อนให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่สนใจกิจกรรมนั้นก็ตาม เกิดความรู้สึกด้อยคุณค่าในตนเอง เมื่อเห็นเพื่อนๆ ได้ไปทำกิจกรรมสนุกๆ นอกสถานที่
- โพสต์หรือแชร์ภาพกิจกรรมของตนเองบนโซเชียลมีเดียอยู่บ่อยครั้ง
- มีปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า หากอาการรุนแรง
FOMO ในวัยทำงาน
- ติดตามข่าวสารบนโซเชียลมีเดียอย่างละเอียดระหว่างการทำงาน จนบางครั้งละเลยงานที่กำลังทำอยู่
- กังวลว่าเพื่อนร่วมงานหรือคนอื่นๆ จะไปทำกิจกรรมที่น่าสนุจและมีความสุขกว่าตนเอง
- พยายามหากิจกรรมทำเพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกว่ากำลังพลาดโอกาส
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เนื่องจากสมาธิไม่จดจ่ออยู่กับงาน
- ความเครียดจากการรับรู้ว่าตนเองมีชีวิตน่าเบื่อกว่าคนอื่น
- มีความไม่พอใจกับตำแหน่งงานและรายได้ของตนเอง
- การขาดความสมดุลในชีวิต นำไปสู่ปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจได้ในที่สุด
FOMO ในผู้สูงอายุ
- ติดตามข่าวสารและกิจกรรมของลูกหลานผ่านโซเชียลมีเดียอย่างใกล้ชิด
- พยายามเข้าร่วมกิจกรรมของครอบครัวให้ได้มากที่สุด แม้บางครั้งร่างกายอาจไม่เอื้ออำนวย
- มีความรู้สึกอิจฉาริษยาเมื่อเห็นผู้สูงอายุท่านอื่นได้ทำกิจกรรมสนุกๆ หรือได้ใช้ชีวิตท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น
- เมื่อไม่สามารถเข้าร่วมงานครอบครัวได้ ก็จะรู้สึกเสียใจ กังวลว่าจะตกขบวน
- เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้ง หากลูกหลานไม่ได้เอาใจใส่หรือไม่นำเข้าร่วมกิจกรรม
- หมกมุ่นอยู่กับโซเชียลมีเดีย จนอาจทำให้ขาดการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม
- มีความเครียด วิตกกังวล อันอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและกายได้
- หากได้เข้าร่วมกิจกรรมบ่อยจนเกินไป อาจทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า นำไปสู่ปัญหาสุขภาพตามมา
วิธีการจัดการกับ FOMO
- ตระหนักถึงอคติของจิตใจ FOMO มักเกิดจากการมองเห็นเพียงด้านเดียว เราอาจมองเห็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสนุกสนานของผู้อื่น แต่ไม่ได้เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ให้ตระหนักว่าสิ่งที่เห็นในโลกออนไลน์ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
- ให้คุณค่ากับสิ่งที่ตนมี แทนที่จะหมกมุ่นกับสิ่งที่ขาดหายไป จงมองในมุมกลับกัน สิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันมีความสำคัญเพียงไร เช่น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนสนิท งานที่มั่นคง ให้รู้จักภูมิใจและซาบซึ้งในสิ่งเหล่านี้
- กำหนดเวลาใช้สื่อออนไลน์ให้พอดี การเปิดรับข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์มากเกินไปเป็นสาเหตุหลักของ FOMO ควรกำหนดเวลาในการเล่นสื่อให้พอประมาณ และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจมากกว่า
- สร้างความสมดุลในชีวิต อย่าใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการอยู่กับสื่อออนไลน์เท่านั้น พยายามสร้างความสมดุลโดยทำกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการทำงาน การพักผ่อน การออกกำลังกาย การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
- ตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน เมื่อมีเป้าหมายชีวิตที่แน่วแน่ จะช่วยให้ไม่หลงใหลไปกับสิ่งเล็กน้อยที่อาจนำมาซึ่งความรู้สึกขาดหายไปได้ จงมุ่งมั่นไปที่เป้าหมายและทำสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุด ความสำเร็จจะช่วยให้รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง
- พูดคุยกับบุคคลใกล้ชิด เปิดใจพูดคุยกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทถึงความรู้สึก FOMO การระบายความในใจจะช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้น และคนใกล้ชิดเหล่านี้อาจให้มุมมองที่เป็นประโยชน์เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว
- ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หากไม่สามารถจัดการ FOMO ด้วยตนเองได้ ไม่ควรละเลย ควรขอคำปรึกษาจากนักจิตวิทยา พยาบาล หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อรับการบำบัดรักษาต่อไป
การจัดการ FOMO อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความตระหนักรู้และการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการมองโลกก่อน จากนั้นจึงดำเนินวิธีการต่างๆ เพื่อให้ชีวิตสมดุล มีความสุข และไม่ถูกรบกวนจากความกลัวที่จะพลาดโอกาสไปอีก
สรุป
ในยุคที่เทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน FOMO หรือความกลัวที่จะพลาดประสบการณ์และกิจกรรมของผู้อื่นจึงกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยขึ้น FOMO เกิดจากการได้เห็นภาพหรือการโพสต์เกี่ยวกับกิจกรรมสนุกสนานของเพื่อนฝูงบนโลกออนไลน์ ทำให้บุคคลรู้สึกอิจฉาริษยา กลัวว่าตนเองจะพลาดโอกาสที่ดีไป จึงพยายามเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งสำคัญคือการรู้จักให้คุณค่ากับสิ่งที่มีความหมายและมีคุณค่าจริงๆ ในชีวิต อย่าปล่อยให้ความกลัวพลาดโอกาสมาบั่นทอนความสุขที่แท้จริง จงใช้ชีวิตอย่างเต็มที่กับสิ่งมีอยู่ในปัจจุบัน แล้วความสำเร็จและความสุขย่อมตามมาเอง
ติดตามเรื่องราวน่าสนใจที่เกี่ยวข้อง